ภาษาอังกฤษอยู่รอบๆตัวคุณ

 คุณเคยบ้างไหมที่เวลาจะต้องพูดคุยสื่อสารภาษาอังกฤษกับฝรั่งและชาวต่างชาติ ทีไรเป็นต้องพะอืดพะอม พูดไม่ออก บอกไม่ถูก จะคิดศัพท์แต่ละทีเป็นต้องงัด dictionary ออกมาดูตลอด ทั้งกลัวทั้งไม่มั่นใจ ทั้งๆที่ก็เคยเรียนภาษาอังกฤษมานานตั้งหลายปี แต่พอจะพูดกับฝรั่งแต่ละทีกลับใจสั่นตัวสั่นราวกับจะต้องไปออกรบ ทำให้ประสบการณ์ที่จะต้องสื่อสารกับคนต่างชาติแทนที่จะเป็นความท้าทาย กลับกลายเป็นฝันร้ายไปซะได้! ซึ่งทุกวันนี้ก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เจอปัญหาแบบนี้ แต่จากนี้คุณจะไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้วเพราะ English is all around


ดังนั้นเราจึงขออาสาพาทุกๆคนออกไปเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่มีอยู่รอบตัวในรูปแบบที่ไม่หยุดนิ่ง คนหลายคนมักจะมองข้ามแหล่งความรู้ที่มีอยู่รอบๆตัวเราในสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันและในอีกหลายๆกิจกรรมที่เราคุ้นเคย ถ้าเพียงแค่ทุกคนมี ช่างสังเกต และ ช่างสงสัย ก็จะมองเห็นภาษาอังกฤษอยู่รอบๆตัวเสมอเพราะการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา หากเรามีความขวนขวายและช่างสังเกต So, Go Out and don't let the learning stop the moment you leave the classroom! 

Sharing Loving Kindness




Sharing Loving Kindness การแผ่เมตตา

We can explain the objective of Sharing Loving Kindness easily; The sharing of loving kindness is something we do every day, both before and after daily meditation. แปลว่า การแผ่เมตตาเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ทุกวันทั้งก่อนและหลังนั่งสมาธิ(Meditation

Sharing Loving Kindness แปลว่า การแผ่เมตตา

The benefits of sharing loving kindness everyday includes radiating happy feelings when we are awake and asleep. We will be rid of anger and we will be positive thinkers. แปลว่า ประโยชน์ของการแผ่เมตตาทุกๆ วันนั้นรวมในเรื่องของการส่งผ่านตลื่นความสุขทั้งเวลาที่เราตื่น และหลับและยังช่วยขจัดความโกรธ และทำให้เป็นผู้ที่คิดบวกด้วย 

Radiate แปลว่า การแผ่รังสี. การแสดงความรู้สึก 
Positive Thinking แปลว่า การคิดบวก

The sharing of loving kindness as such helps us improve our meditation experience and spreads the purity of our peaceful minds around ourselves and subsequently towards others. แปลว่า การแผ่เมตตายังช่วยให้เราพัฒนาผลการปฏิบัติธรรมได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นการแผ่ขยายความบริสุทธิ์ของใจที่ฝึกสมาธิไปรอบๆตัวเรา และส่งผ่านไปยังผู้อื่น 

We can share loving kindness before ending our meditation session when our minds come to a standstill and hence, filled with happiness, we can actually share loving kindness, good wishes and peacefulness with all other people in the world. แปลว่า เราสามารถแผ่เมตตาก่อนที่จะจบรอบการปฏิบัติธรรม เมื่อใจเราสงบนิ่ง และเติมเต็มไปด้วยความสุข เราสามารถแผ่ความเมตตา ความปรารถนาดี และความสงบไปยังผู้คนทั่วโลก 

Standstill แปลว่า หยุดนิ่ง 
Peacefulness แปลว่า ความสงบ
Good Wish แปลว่า ความปรารถนาดี 

We start by focusing our still mind at the centre of our body. Imagine the crystal sphere of love and good wishes expanding in all directions from the body's centre towards all other beings. Let all good feelings spread from the crystal sphere of love to all around the world. แปลว่า เราสามารถเริ่มต้นด้วยกสนหยุดใจเราไปที่ศูนย์กลางกายแล้วจินตนาการว่าดวงกลมใสแห่งความรัก และปรารถนาดี แผ่ขยายไปทั่วทิศทางจากศูนย์กลางกายไปยังสรรพชีวิต และปล่อยให้ความรู้สึกอันดีงามแผ่จากดวงกลมใส ให้ความรักขยายไปทั่วโลก

Imagine แปลว่า จินตนาการ
Crystal sphere แปลว่า ดวงกลมใส

Then you can wish that All living beings share the peace and happiness that you have received from meditation. แปลว่า จากนั้นคุณสามารถอธิษฐานว่า ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้แบ่งปันความสงบสุขที่เราได้รับจากการทำสมาธินี้ 

Living Beings แปลว่า สรรพสัตว์ 




Whether they are in my country or anywhere else, whether they are a member of my race or any other race. แปลว่า ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในประเทศนี้ หรือ ประเทศอื่นๆ ไม่ว่าพวกเขาจะมีเชื้อชาติเดียวกัน หรือ เชื้อชาติอื่นๆ 

Race แปลว่า เชื่อชาติ 

Whether they are a follower of Buddhism or any other spiritua; system. Whether they love me or loathe me. แปลว่า ไม่ว่าพวกเขาจะนับถือศาสนาเดียวกันหรือ มีความเชื่ออื่นๆ พวกเขาจะรักเรา หรือ รังเกียจเรา 

Loathe แปลว่า รังเกียจ

Whether they see me as a family, friend or foe. May this air of purity resulting from the meditation dissolve all the anger, sadness and suffering in their hearts. แปลว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเหมือนครอบครัว หรือ เป็นศัตรูของเรา ขอให้คลื่นแห่งความบริสุทธิ์จากการทำสมาธินี้ไปขจัดความโกรธ ความเศร้า ความทุกข์ในใจของพวกเขาทั้งหลาย 

Foe แปลว่า ศัตรู
Dissolve แปลว่า ขจัด, ทำให้เจือจาง 
Anger แปลว่า ความโกรธ 

May those in pain be free from suffering and those already happy be happier. แปลว่า ขอให้ความเจ็บปวดทั้งหลายนั้มลายหายไปและขอให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป 

May people of all races, nationalities and faiths live together in peace, forgiveness and compassion. แปลว่า ขอให้ผู้คนทุกเชื้อชาติ สัญชาติ และความเชื่ออยู่ร่วมกันด้วยความสงบ ให้อภัย และ เห็นอกเห็นใจกัน 

Nationality แปลว่า สัญชาติ 
Faith แปลว่า ความศรัทธา 
Forgiveness แปลว่า การให้อภัย 
Compassion แปลว่า ความเห็นอกเห็นใจกัน 

We expand our minds from our surroundings and continue outwards until it reaches the entire sky. we feel unlimited love and kindness towards people of the world in every continent and beyond. แปลว่า ขยายใจของเราให้คลอบคลุมไปทั่วบริเวณ และแผ่ขยายต่อๆ ไปจนกระทั่งครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า รู้สึกถึงความรักและปรารถนาดีที่ไม่มีที่สิ้นสุดไปยังผู้คนทั่วโลก ทุกทวีป และทุกๆที่ 

Unlimited แปลว่า ไม่มีที่สิ้นสุด 
Continent แปลว่า ทวีป 

Eventually, we will change the world and bring about true peace. แปลว่า ในที่สุด เราจะเปลี่ยนโลกใบนี้ และนำสันติสุขมาสู่ชาวโลกได้ 



Today we've learned a lot of vocabulary about "Sharing Loving kindness" as well as other useful words. For example; 

Sharing Loving Kindness แปลว่า การแผ่เมตตา
Peacefulness แปลว่า ความสงบ
Good Wish แปลว่า ความปรารถนาดี 
Crystal Sphere แปลว่า ดวงกลมใส 
Living Beings แปลว่า สรรพสัตว์ 
Dissolve แปลว่า ขจัด, ทำให้เจือจาง 
Faith แปลว่า ความศรัทธา 
Forgiveness แปลว่า การให้อภัย

Compassion แปลว่า ความเห็นอกเห็นใจกัน

ศัพท์ภาษาอังกฤษน่ารู้เกี่ยวกับการประท้วง





1. Mob
      ผู้เขียนเคยตั้งข้อสังเกตว่าการที่ภาษาไทยของสื่อมวลชนนำเอาคำว่าม็อบหรือ Mob มาใช้กับผู้ชุมนุมประท้วงเป็นการไม่ยุติธรรมนัก เพราะ mob (ตามดิกชันเนรี Macmillan ของผู้เขียน) หมายถึงฝูงชนขนาดใหญ่ที่อันตรายและยากที่จะควบคุม ดังนั้นควรใช้คำว่า protester อันหมายถึงผู้ประท้วงซึ่งมีพฤติกรรมที่สงบ สันติและเป็นไปตามกรอบของกฎหมายจึงน่าจะไม่ได้เป็นการเหมารวม  นอกจากนี้คำว่า demonstrator ก็ยังสามารถนำมาใช้ในกรณีนี้ได้ แต่คำนี้ยังอาจหมายถึงกลุ่มบุคคลที่มาชุมนุมกันเพื่อสนับสนุนใครหรือประเด็นอะไรสักอย่างก็ได้


2. Illegal political participation –การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย
      อย่างไรก็ตามผู้เขียนเองก็เข้าใจสื่อมวลชนที่ว่านอกจากการใช้คำว่าม็อบเพราะสะดวกและติดตาแนบหูประชาชนดีแล้ว มีผู้ประท้วงจำนวนมากโดยเฉพาะเมืองไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมาได้ขยับขยายกิจกรรมตามวิถีของ protester มาเป็น mob เช่นการบุกเข้ายึดสถานที่ราชการ และสถานที่สำคัญของประเทศรวมไปถึงการใช้ความรุนแรงทางกายและอาวุธกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองรวมไปถึงผู้มีความคิดเห็นต่างกับตน  จึงทำให้คำว่า Mob ดูโดดเด่นเหนือคำอื่น  สำหรับผู้ประท้วงนั้นก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง เพราะการประท้วงแบบเรียบร้อยนั้นมักไม่ค่อยได้ผลและต้องใช้เวลานานอาจทำให้การประท้วงล้มเหลว ผู้นำการประท้วงและผู้ประท้วงจำนวนมากจึงแอบหวังลึกๆ ว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ผิดกฎหมายเช่นนี้มักนำไปสู่ความสำเร็จเช่นการล้มรัฐบาล
   
3. Flash mob/smart mob
     Flash mob ตามวิกิพีเดียภาษาไทยคือ การรวมตัวของกลุ่มคนในสถานที่หนึ่ง อย่างฉับพลัน เพื่อแสดงสิ่งแปลกตาและดูเหมือนไม่มีจุดมุ่งหมายในช่วงระยะเวลาอันสั้นโดยผ่านสื่อเทคโนโลยีเช่นมือถือหรืออินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์  อย่างไรก็สำหรับการประท้วงทางการเมืองที่กลุ่มผู้ประท้วงมีการวางแผนอย่างดีโดยสื่อสารกันผ่านเทคโนโลยีทันสมัยต้องใช้คำว่า  smart mob


4. Demagogue -นักปลุมระดมมวลชนโดยใช้กลยุทธต่างๆ
     หัวใจสำหรับการประท้วงคือการมีผู้จัดตั้งและผู้นำการประท้วง การจะทำให้มวลชนซึ่งอาจมีความคิดสอดคล้องกันเพียงแค่บางประการให้คิดเหมือนกันหมด ผู้นำการประท้วงหรือนักปลุกระดมมวลชนจึงมักมีบารมี (Charisma) และเป็นที่นับถือหรือเป็นที่นิยมของมวลชนไม่ว่าเป็นนักธุรกิจชื่อดัง นักกิจกรรมทางสังคม ดารา นักการเมืองที่คว่ำหวอด หรือแม้แต่พระสงฆ์ ฯลฯ  ซึ่งต้องใช้วาทศิลป์ในการกล่อมให้ฝูงชนเกิดอารมณ์คล้อยตามและปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อถกเถียงจนสามารถยอมตายแทนได้ ซึ่งน่าสนใจว่าผู้ที่เป็นเอตทัคคะในด้านนี้ในอดีตคืออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งกลยุทธของเขาถูกนำมาใช้โดยนักการเมืองของประเทศต่างๆ ในยุคหลัง (ซึ่งจำนวนมากก็ได้ประณามฮิตเลอร์ไปด้วย ปฏิบัติตามฮิตเลอร์ไปด้วย) อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ว่าเหตุใดผีของฮิตเลอร์ยังคงสิงสู่โลกเหมือนปัจจุบัน


5. Propaganda -การโฆษณาชวนเชื่อ
     หากได้ศึกษาการปลุกระดมมวลชนของบรรดาผู้นำการประท้วงแล้ว เราก็จะตกใจไม่น้อยว่าการประท้วงที่อ้างว่าเพื่อประชาธิปไตยนั้นกลับเต็มไปด้วยกิจกรรมที่ตรงกันข้ามกับประชาธิปไตยทั้งสิ้นโดยเฉพาะการตั้งเวทีเพื่อเสนอข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับเป้าหมายของการประท้วง (เช่นรัฐบาล) ผ่านกิจกรรมทุกอย่างเท่าที่จะทำได้นอกจากการใช้วาทศิลป์ของ demagogue   เช่น การแสดงภาพและตัวหนังสือบนจอที่ปลุกใจ การโฟนอินของบุคคลสำคัญ การแสดงละครและดนตรี การนำเอาเด็กหน้าใสๆ ขึ้นเวที หรือแม้แต่พิธีกรรมทางศาสนาผสมผสานกับรวมไปถึงความพยายามในการเชิดชูอุดมการณ์ที่ตนนับถืออย่างไม่ลืมหูลืมตาและเสนอภาพด้านบวกของผู้นำหรือการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มตัวเอง เช่นนำเสนอการแต่งงานของคนที่มาเจอกันขณะประท้วง หรือผู้ประท้วงยื่นดอกไม้ให้ทหาร ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อของผู้นำการประท้วงดูคล้ายคลึงกับโฆษณาชวนเชื่อของลัทธิชาตินิยมในประเทศต่างๆ


6. Militia -กองกำลังติดอาวุธ
    หรืออย่างที่เรียกกันทั่วไปว่าเป็นฝ่ายคุ้มครองการประท้วงหรือการ์ด ซึ่งคนเหล่านั้นมีการแอบเก็บสะสมอาวุธในรูปแบบต่างๆ  (ที่ต้องแอบเพราะจะได้ไม่ต้องเสียภาพพจน์ของการประท้วงแบบอหิงสา) และพร้อมจะเป็นแนวหน้าในการทำสงครามต่อสู้กับผู้มาก่อกวนหรือกลุ่มฝ่ายตรงกันข้ามได้   เมื่อเกิดเหตุปะทะกันการ์ดซึ่งมักเป็นชาวบ้านตาดำ ๆ มักเป็นฝ่ายแรกที่บาดเจ็บ และล้มตาย หรือถูกจับดำเนินคดีกับติดคุกเป็นเวลานาน อันเป็นชะตากรรมที่ค่อนข้างแตกต่างจากกลุ่มผู้นำประท้วงซึ่งมักสามารถหายตัวไปได้ก่อนจะมีการปราบปรามหรือจับกุมผู้ประท้วงครั้งใหญ่


7. Deception   -การหลอกลวง
   ในการโฆษณาชวนเชื่อนั้น กิจกรรมสำคัญสำหรับผู้นำการประท้วงก็คือการหลอกลวง การโกหกเพื่อให้ผู้ประท้วงเกิดความเกลียดชังเป้าหมายจนเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง (insane)  โดยใช้ข้อมูลที่เกินจริง ตัดทอนเอาข้อมูลบางส่วนที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของตนออกไป เน้นแต่อารมณ์เป็นสำคัญ  ส่วน demagogue หลายคนนอกจากจะใช้การด่าทอที่เต็มไปด้วยคำหยาบคาย แล้วยังพยายามใช้คำกำกวมเช่นการประกาศชัยชนะจนพร่ำเพรื่อ  สู้จนตัวตาย หรือประกาศเงื่อนไขที่ดูดีแต่มีประเด็นซ่อนเร้นเช่นผู้นำมักประกาศว่าถ้าไม่ชนะก็ยินยอมให้ถูกจับกุม เพราะผู้นำฝ่ายประท้วงมักมีอำนาจทางการเมืองในการต่อรองสูง จึงมักไม่ติดคุกหรือติดคุกไม่นาน เป็นที่น่าสนใจว่าการหลอกลวงแบบนี้จะถูกหัวเราะเยาะจากฝ่ายอื่น แต่พวกเดียวกันกลับสามารถเชื่อได้อย่างน่าอัศจรรย์ อันสะท้อนให้เห็นถึงพลังของการโฆษณาชวนเชื่อ


8. Hidden dictatorship -เผด็จการแบบแอบแฝง
     น่าสนใจว่าการประท้วงส่วนใหญ่  อำนาจการตัดสินใจมักรวมศูนย์อยู่ที่หัวหน้าและคณะกรรมการ เพราะการประท้วงเป็นระบบเปิดคือให้คนจากร้อยพ่อพันแม่เข้าร่วม การเปิดให้ทุกคนตัดสินใจร่วมกันในขณะเดียวกันผู้นำการประท้วงต้องการให้ผู้เข้าร่วมประท้วงปฏิบัติตามแบบซ้ายหันขวาหันจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากยิ่ง  ผู้นำการประท้วงจึงมักใช้ลูกไม้ (trick) เช่นการกล่อมให้ผู้เข้าร่วมเกิดความเคลิบเคลิ้มและคล้อยตามแล้วจึงแสร้งถามความเห็นของมวลชนเพื่อให้ได้คำตอบที่ตัวเองได้เตรียมไว้แล้วและจะได้ไว้ใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นฉันทามติของผู้ประท้วง (และสุดท้ายย่อมอ้างไปถึงประชาชนคนไทยทั้งมวล) แน่นอนว่าเวทีการประท้วงย่อมไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน (มากเกินไปนัก ) หรือไม่มีทางที่จะเปิดให้มีการถกเถียง (debate) กันอย่างเสรีระหว่างผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการประท้วง


9. Mastermind -จอมบงการ
     น่าสนใจที่ว่าการประท้วงจำนวนมากจะมีจอมบงการที่อยู่เบื้องหลัง เป็นนักวางแผนตัวจริงและเป็นผู้สนับสนุนด้านทุนและกำลังคนส่วนหนึ่ง  จอมบงการมักไม่ได้อยู่ในที่ชุมนุมประท้วงหรือปรากฏตัวเพียงชั่วขณะหรือส่งสัญญาณบางประการเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่มประท้วงหรือดึงดูดใจให้มีคนเข้าร่วมประท้วงมาก ๆ   จอมบงการมักเป็นผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบในด้านลบหากเกิดการปรามปรามของรัฐหรือความรุนแรงและเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากความขัดแย้งครั้งนี้อย่างแท้จริงถ้าฝ่ายตนชนะ   การรับรู้ของสาธารณชนต่อตัวตนของคนเช่นนี้ค่อนข้างหลากหลายเช่นเป็นที่รู้กันทั่วไปบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้าง หรือสื่อไม่ได้นำเสนอแต่คนจำนวนมากก็รู้บ้าง


10. Mediator -ผู้ไกล่เกลี่ย
   เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายที่ไม่ยอมความกันแล้ว วิธีการที่ดีที่สุดประการหนึ่งคือการหาคนกลางมาไกล่เกลี่ย แต่ปัญหาคือในช่วงความขัดแย้งนี้ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจกัน (distrust) ดังนั้นจึงหาผู้มาไกล่เกลี่ยซึ่งเป็นที่ยอมรับกันได้ยากยิ่ง เพราะต่างฝ่ายอาจมองว่าผู้ไกล่เกลี่ยแท้ที่จริงอาจเป็นจอมบงการที่อยู่เบื้องหลังหรือแอบเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรืออาจจะเป็นมือที่ 3


11. Intervener –ผู้เข้ามาแทรกแซงหรือมือที่ 3
     มือที่ 3 อาจเกิดจากจอมบงการอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาแทรกแซงเหตุการณ์อันเกิดจากความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่มด้วยการเป็นตัวจุดประกายให้การเผชิญหน้าดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้นมาเพื่อที่ตนจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลัง  มือที่ 3 เป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่สังเกตได้ยากเพราะไม่แสดงตนและผู้ปฏิบัติการมักจะพรางตนให้เกิดความเข้าใจผิดจากรัฐบาลและฝ่ายประท้วงว่าเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง  วีรกรรมของมือที่ 3 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเช่นช่วงพฤษภาทมิฬปี 2535 ที่มีชายฉกรรจ์ไปเผาโรงพักนางเลิ้ง หรือว่าชายชุดดำในสงครามกลางเมืองของไทยเมื่อปี 2553


12. Civil war -สงครามกลางเมือง
      สงครามกลางเมืองหมายถึงการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในประเทศเดียวกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน หากดูจากเวบบอรด์ต่างๆ จะพบว่ามีหลายคนหวาดกลัวว่าการประท้วงใหญ่ครั้งนี้จะนำไทยไปสู่สงครามกลางเมืองแบบซีเรีย ผู้เขียนซึ่งสนใจการเมืองตะวันออกกลางพอสมควรคิดว่าไม่ควรที่จะนำเอาการเมืองของประเทศที่มีบริบทแตกต่างจากเรามาเปรียบเทียบ เพราะซีเรียนั้นอาจจะเริ่มต้นแบบเดียวกับไทย  (หรือยูเครนหรืออื่น ๆ )  แต่เกิดการลุกลามไปได้เพราะต่างชาติเช่นตะวันตก รัสเซียและจีน รวมไปถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายเข้ามาแทรกแซงให้การสนับสนุนผู้ประท้วงและฝ่ายขบถในด้านอาวุธและกำลังคน ซีเรียยังเกิดความจากความขัดแย้งระหว่างนิกาย 2 นิกายคือชีอะห์และซุนนีห์ อย่างไรก็ตามเราก็ไม่สามารถตัดเอาคำว่า  Civil war ออกไปจากอนาคตของการเมืองไทยได้ หากกลุ่ม 2 กลุ่มซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคนไทยในจำนวนที่ใกล้เคียงกันหรือไม่ทิ้งห่างกันเท่าไรยังคงขัดแย้งและความเกลียดชังต่อกันอย่างสูงอยู่เช่นนี้

ทำไมต้องมีการเติม S



ที่มาของการเติม
             มีหลายเรื่องหลายอย่างในภาษาอังกฤษที่ดูจะไม่ค่อยเข้าท่า ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราพูดถึงของที่มีมากกว่าหนึ่ง รูปพหูพจน์ส่วนใหญ่เรามักเติม ‘s’ ท้ายคำ แมวหนึ่งตัว (one cat) แมวสองตัว (two cats) แต่ก็มีคำอยู่กลุ่มหนึ่งที่ต่างออกไป ผู้ชายคนเดียวคือ (man) แต่ถ้าเขามีใครอีกคนอยู่ด้วย ก็จะกลายเป็น (men.) หรือเขาอาจจะโชคดีอยู่กับผู้หญิงหลายคน (women) แต่ถ้ามีแค่คนเดียวก็เป็น (woman) หรือถ้าเรามีห่าน (goose) มากกว่าหนึ่งตัว มันก็จะกลายเป็น (geese.) แต่ทำไมกวางมูส (moose) หลายตัวไม่กลายเป็น (meeze.) หรือการที่เรามีเท้าสองข้าง (feet) แต่ทำไมเราไม่อ่านหนังสือสองเล่ม (beek) แทนที่จะใช้ (books.)

          ความจริงมีอยู่ว่าถ้าคุณเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษเมื่อประมาณพันกว่าปีที่แล้ว beek ก็เป็นคำที่คุณจะใช้แทนหนังสือมากกว่าหนึ่งเล่มนั่นแหละ ถ้าคุณว่าภาษาอังกฤษในยุคปัจจุบันนี้ดูแปลกแล้วล่ะก็ ภาษาอังกฤษโบราณก็เหมือนคนไข้ที่ต้องได้รับการบำบัดเลยทีเดียว เชื่อหรือไม่ว่าภาษาอังกฤษเคยเป็นภาษาที่เรียนรู้ได้ยากกว่านี้ เมื่อประมาณ 2500 ปีก่อนภาษาอังกฤษกับภาษาเยอรมันเคยเป็นภาษาเดียวกันมาก่อน แต่ทั้งสองภาษาเริ่มมีความแตกต่างมันมากขึ้น และค่อยๆแยกออกจากกัน ดังนั้นเมื่อภาษาอังกฤษโบราณเคยมีลักษณะเหมือนกับภาษาเยอรมัน นั่นหมายความว่าคำศัพท์แต่ละคำที่ใช้แทนสิ่งของที่ไม่มีชีวิตนั้นต้องมี เพศ กำกับอยู่เสมอด้วย เช่น ส้อม (gafol) เป็นผู้หญิง ส่วนช้อน (laefel) เป็นผู้ชาย แต่โต๊ะ (bord) ที่พวกมันตั้งอยู่นั้นไม่ได้เป็นเพศใดแต่เป็นกลางๆ (neuter) ลองนึกดูว่าถ้าการที่เราจะใช้คำหนึ่งคำหมายถึง ต้องรู้ทั้งความหมายและยังต้องทราบเพศของมันอีกด้วย
       
       ในขณะที่ทุกวันนี้เหลือเพียงคำนามพหูพจน์ไม่กี่ตัวที่มีลักษณะแปลกๆ เช่น men และ geese ในภาษาอังกฤษโบราณนั้นเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่จะมีคำนามพหูพจน์มากมายจนนับไม่ถ้วนที่เป็นแบบนี้ คุณคิดว่ามันแปลกที่ห่านหลายตัวต้องเปลี่ยนเป็น geese ลองนึกดูว่าถ้าแพะ (goat) มีรูปพหูพจน์เป็น gat หรือต้นโอ๊ค (oak) หลายต้นกลายเป็น ack การจะใช้คำเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องยากเพราะคุณต้องทราบรูปพหูพจน์ของมันแทนที่จะสามารถเติม ‘s’ ท้ายคำได้สบายๆ
   แล้วบางทีมันก็อาจจะไม่ได้ลงท้ายด้วยตัว ‘s’ เสมอไปด้วย ในภาษาอังกฤษโบราณมีการเติมเสียงอื่นๆที่ท้ายคำแบบเดียวกับที่คำว่า เด็ก (child) กลายเป็น (children) และแกะหนึ่งตัว (lamb) กลายเป็นแกะหลายตัว (lambru) คุณทอดไข่หลายฟอง (eggru) และทุกคนอาจไม่พูดถึงขนมปังหนึ่งชิ้น (bread) แต่พูดถึงขนมปังหลายชิ้น (breadru) บางครั้งก็มีบางคำที่มีลักษณะเหมือนกับคำว่า sheep ในทุกวันนี้คือไม่เติมอะไรถึงแม้จะมีหนึ่งหรือสองตัว ในภาษาอังกฤษโบราณบ้าน (house) ก็เป็นคำหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนรูปไม่ว่าจะหมายถึงบ้านหนึ่งหลังหรือสองหลัง และในแบบเดียวกับที่ในปัจจุบันนี้เราแทนวัวหลายตัวด้วย (oxen) แทนที่จะเป็น (oxes) ภาษาอังกฤษโบราณก็ใช้รูปพหูพจน์ของคำว่าลิ้นว่า (toungen)แทนที่จะเป็น (tongue) และ (namen) เป็นรูปพหูพจน์ของคำว่าชื่อ (name) และถ้าทุกอย่างยังคงเป็นอย่างนั้นต่อมาถึงปัจจุบัน เราก็คงจะได้ใช้คำว่า (eyen) หมายถึงดวงตาสองข้างแทนคำว่า (eyes.)
              ลองนึกถึงภาษาที่มีคำพหูพจน์อย่าง eggru (eggs) กับ gat (goats) แล้วลองเปรียบเทียบกับภาษาที่ลักษณะการเปลี่ยนรูปพหูพจน์คือการเติม ‘s’ เช่น days หรือ stones ดูสิ คุณว่ามันง่ายกว่ามากใช่ไหม เพียงแค่เราจะใช้ ‘s’ กับทุกๆอย่าง ชาวไวกิ้งก็รู้สึกอย่างเดียวกันนี่แหละ และเนื่องจากพวกเขามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็แต่งงานกับผู้หญิงชาวอังกฤษจำนวนมากด้วยเช่นกัน ทำให้ไม่ช้าไม่นานพวกเขาก็สร้างครอบครัวและอาศัยอยู่ในอังกฤษ ในตอนนั้นคุณจะได้ยินทั้งภาษาอังกฤษแบบดัดแปลงและภาษาอังกฤษแท้ๆควบคู่กันไป แต่ผ่านไปซักพักก็ไม่มีใครจำได้อีกต่อไปว่าภาษาอังกฤษแท้ๆแต่ดั้งเดิมนั้นเป็นอย่างไร ทุกคนจำไม่ได้ว่า เคยใช้ doora แทนประตูหลายบาน (doors) และใช้ handa แทนมือสองข้าง (hands.) รูปพหูพจน์ของคำนามต่างๆดูจะสมเหตุสมผลมากขึ้นแล้วในปัจจุบันนี้ ยกเว้นแค่บางคำที่ยังคงใช้กันต่อมา เช่นคำว่า children และ teeth ซึ่งถูกใช้บ่อยเสียจนเคยชินยากที่จะเปลี่ยนแปลง
           
            สรุปแล้วภาษาอังกฤษก็อาจจะมีที่มาเป็นเหตุเป็นผลกว่าที่คุณคิด ต้องขอบคุณบรรพบุรุษในกรุง โคเปนเฮเกน และ ออสโล ที่ทำให้ทุกวันนี้เราไม่ต้องเรียกหา pea-night (ถั่วลิสงหลายเม็ด) แทนที่จะเรียกมันว่า peanuts (รูปพหูพจน์ในปัจจุบัน) ถึงแม้ว่ามันจะดูน่าสนุกดีที่จะลองพูดแบบเก่าดูสักอาทิตย์สองอาทิตย์ น่าสนใจไหมล่ะ



value กับ volume


คุณออกเสียงสองคำนี้ว่ายังไง?? value กับ volume

ถ้าถามแบบนี้ คนไทย 7 ใน 10 คน อาจจะตอบกลับมาว่า
             value
ก็อ่านว่า แว-ลู่
             volume
ก็อ่านว่า วอว-ลุ่ม ไงล่ะ

   นั่นเป็นการออกเสียงที่คุ้นหูกับคนไทยมาตลอด แต่รู้หรือไม่!!! ฝรั่งเค้างงและไม่เข้าใจกับการออกเสียงแบบนี้หรอกค่ะ เพราะสองคำนี้ จริงๆแล้วต้องออกเสียงว่า (ไฮไลท์ที่ตัวคำศัพท์ แล้วคลิ๊กลำโพงเพื่อฟังเสียงได้เลยค่ะ)
            value ต้องออกเสียงว่า แวฝล-ยู่
            volume ต้องออกเสียงว่า วฝอล-ยุ่ม

        พยางค์หลังของสองคำนี้เป็นตัว U นะคะ ไม่ใช่ตัว L อย่างที่เราๆเข้าใจกัน และสงสัยกันมั๊ยคะ!! ว่าทำไมตัว V ต้องแทนด้วย วฝเพราะจริงๆแล้ว ตัว V ในภาษาอังกฤษไม่ได้ออกเสียงเหมือน ว แหวน ในภาษาไทยหรอกนะคะ แต่มันจะออกเสียงคล้ายๆก้ำกึ่งกันระหว่างตัว ว กับ ตัว ฝ ค่ะ โดยเวลาออกเสียงให้เอาฟันบนอยู่ตรงริมฝีปากล่าง

** ขอเสริมอีกคำนึงนะคะ คือคำว่า valuable ก็เหมือนกันค่ะ ออกเสียงว่า แวฝ-ยู-เอบึล นะคะ
ลองฝึกออกเสียงดูนะคะ อาจจะฝืนๆลิ้น ไม่ค่อยชินกับที่เราเคยออกเสียง แต่ลองเปลี่ยนดูค่ะ เพราะการออกเสียงให้ถูกต้องก็เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกันนะคะ ซึ่งนอกจากจะทำให้ฝรั่งเข้าใจในสิ่งที่เราพูดแล้ว เราก็ยังเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดด้วยค่ะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจสักที ^^


R.I.P คืออะไร?


             นอกเหนือจากเรื่องการเมืองที่ทำให้หลายคนเศร้าใจ เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็มีอีกเรื่องนึงที่น่าเศร้าสลดเหมือนกัน หากใครเป็นแฟนตังยงของพระเอกหนุ่มชื่อดัง Paul Walker จากเรื่อง Fast and Furious ที่ประสบอุบัติเหตุรถชนจนเสียชีวิต หลายคนคงเห็นจากสื่อออนไลน์จะเขียนว่า R.I.P Paul walker

สงสัยกันมั๊ยคะว่า R.I.P มันคืออะไร??
        R.I.P หลายคนแปลว่า “Rest in peace” แต่จริงๆแล้วมันมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า “Requiescat In Pace” แปลเป็นอังกฤษได้ว่า “May he rest in peace” ได้เหมือนกัน ภาษาบ้าน
เราก็คือ ขอให้ไปสู่สุขคตินั่นแหละค่ะ
เวลาใช้ก็วางไว้หน้าชื่อคนที่เสียชีวิตแล้ว เช่น
    R.I.P Steve Jobs
อย่าไปวางไว้หน้าชื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่นะคะ ^^
** Paul Walker เคยกล่าวไว้ว่า

“If one day the speed kills me, don’t cry because I’m smiling.”
ถ้าวันนึงผมตายเพราะความเร็ว ก็จงอย่าร้องไห้ เพราะผมกำลังยิ้มอยู่